ขิมมีสองประเภทคือ ขิมผีเสื้อ และขิมกระเป๋าหรือเรียกอีกอย่างว่าขิมคางหมู
ขิมผีเสื้อไม้สักทอง
ราคา 5,900 บาท
โทร. 089-5312565
ขิมเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการบรรเลงในวงเครื่องสายของดนตรีไทย เนื่องจากมีเสียงที่ไพเราะและเป็นเอกลักษณ์
ประวัติความเป็นมาของ
ขิมมีดังนี้
ขิมคนไทยเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปแต่ประวัติความเป็นมาของขิมมีคนทราบกัน น้อยมาก ในเมืองไทยคนส่วนมากจะคิดว่าขิมเป็นเครื่องดนตรีของจีนเพราะทราบ แต่เพียงว่าไทยรับเอาแบบอย่างการบรรเลงขิมหรือการประดิษฐ์ขิมมาจากชาวจีนที่ เข้ามาค้าขายกับเมืองไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จะทราบว่าขิมเป็นเครื่องดนตรีที่แพร่เข้ามาจากทาง ตะวันออกแถบเอเซียกลางซึ่งก็คือบริเวณที่ตั้งของประเทศตุรกี อิหร่าน อิรัค และประเทศในกลุ่มศาสนาอิสลามอีกหลายประเทศในปัจจุบันนั่นเอง แต่ในยุคโบราณซึ่งนับถอยหลังไปประมาณ 539 - 330 ปีก่อนศริสตกาลนั้นบริเวณดังกล่าวตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนชาติที่เคยยิ่ง ใหญ่ชาติหนึ่งนั่นคือ อาณาจักรเปอร์เซีย
คนชาติเปอร์เซียนโบราณเป็นทั้งชาตินักรบและศิลปิน เราสังเกตุได้จากอาณาจักรที่ ได้แผ่กว้างออกไปไกลและสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนในด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่โดดเด่นเป็น เอกลักษณ์ของตนเองและคนชาติเปอร์เซียนนี้เองที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ริเริ่ม คิดประดิษฐ์
ขิม ขึ้นมาก่อนเป็นชาติแรกๆของโลก
เมื่อคนเปอร์เซียนได้คิดประดิษฐ์ขิมขึ้นและก็ได้แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรปและเอ เซียตาม สำหรับทวีปเอเซียนั้นแพร่เข้ามาทางเส้นทางสายไหมไปสู่ประเทศจีนโดยพ่อค้าชาว เปอร์เซียน ด้วยสาเหตุนี้คนจีนจึงเรียกขิมว่า หยางฉิน ซึ่งแปลว่า เครื่องดนตรีของต่างชาติ ส่วนที่แพร่ไปทางดินเดียก็มีเหมือนกันโดยชาวดินเดียเรียกขิมว่า ซันตูร์ ในทวีปยุโรปเรียกขิมว่า ดัลไซเมอร์ ที่จริงคำว่า Dulcime มิได้หมายถึงขิมเท่านั้นแต่หมายรวมไปถึงเครื่องดนตรีประเภทพิณที่ทำด้วยไม้ แล้วขึงสายโลหะทุกประเภท ส่วนใหญ่เครื่องดนตรีที่ขึงสายนั้นจะบรรเลงด้วยการใช้นิ้วมือหรือวัสดุเล็ก ที่เรียกว่า ปิ๊ก ดีดหรือเขี่ยสายให้เกิดเสียงและใช้นิ้วมืออีกข้างกดสายเพื่อให้เกิดเป็น ทำนองเสียงสูงต่ำแตกต่างกันแต่ขิมเป็นเครื่องดนตรีประเภท Dulcimer ที่ใช้ไม้ 2 อันตีไปตามสายดังนั้นจึงเรียกขิมอีกชื่อหนึ่งว่า Hammered Dulcimer ซึ่งหมายถึงพิณที่บรรเลงด้วยการใช้ฆ้อนไม้เล็กๆตีลงไปบนสาย
เพราะชาวจีนเป็นนักคิดประดิษฐ์และมีรูปแบบศิลปะเป็นของตนเองจึงนำเอาขิมมาจากเปอร์เซียแล้วนำมาดัดแปลงเป็นแบบฉบับของตนเองและนิยม บรรเลงกันแพร่หลายทั่วไปแต่มิได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเครื่องดนตรีชนิดนี้คง เรียกว่าหยางฉินเหมือนเดิม
ในเมืองไทย ยุคต้นๆของกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อมีพ่อค้าชาวจีนแล่นเรือเข้ามาค้า ขายและตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยมากขึ้นนักดนตรีไทยเห็นชาวจีนนำหยางฉินเข้ามาบรรเลงเล่นกันในชุมชนของชาวจีนและโรงงิ้วจึงเกิดความสนใจและได้นำเครื่อง ดนตรีชนิดนี้เข้ามาร่วมบรรเลงกับเครื่องดนตรีของไทย เช่น ซอด้วง ซออู้ และเห็นว่ามีความไพเราะน่าฟังเหมาะสมกลมกลืนกันดีจึงจัดให้ขิมเป็นเครื่อง ดนตรีของไทยอีกชนิดหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในประเภทวงเครื่องสายทั้งนี้อาจจะเห็น ว่าขิมนั้นมีสายขึงเรียงรายอยู่มากมายทั้งๆที่ลักษณะการบรรเลงของขิมนั้นน่า จะจัดอยู่ในประเภทเครื่องตีเช่นระนาดเอกหรือฆ้องวงมากกว่าแต่เนื่องจากเสียง ขิมนั้นเมื่อบรรเลงรวมกับเสียงของวงปี่พาทย์แล้วไม่ค่อยสนิทสนมกลมกลืน เหมือนบรรเลงกับวงเครื่องสายด้วยเหตุนี้ขิมจึงถูกจัดให้เป็นเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสายและเรียกวงดนตรีที่ใช้ขิมร่วมบรรเลงว่า
วงเครื่องสายผสมขิม ประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ ขิม ขลุ่ยเพียงออ โทน รำมะนา ฉิ่ง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ขิมเริ่มมีบทบาทในวงดนตรีไทย โดย อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นผู้ริเริ่มนำขิมมาบรรเลงในวงดนตรีไทย หลังจากนั้นก็มีผู้นิยมบรรเลงขิมกันแพร่หลายทั่วไป ขิมจีนรุ่นแรกๆนั้นคนไทยนิยมเรียกว่า ขิมโป๊ยเซียน เป็นขิมที่สั่งเข้ามาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่าขิมโป๊ยเซียนก็เพราะขิมรุ่นนั้นนิยมวาดภาพเซียนแปดองค์ของจีนไว้ บนฝาขิมต่อมาเมื่อความต้องการซื้อขิมเพิ่มมากขึ้นประกอบกับประเทศจีน ทำการปิดประเทศช่างดนตรีของไทยจึงได้คิดประดิษฐ์ขิมขึ้นมาเองโดยเปลี่ยนจาก ภาพเซียนแปดองค์เป็นภาพลายไทยอื่นๆเช่นลายเทพนมเป็นต้น
ช่างดนตรีไทยได้ประดิษฐ์ขิมขึ้นโดยเลียนแบบอย่างจากขิมโป๊ยเซียนแต่มี ขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และโดยความที่คนไทยเป็นนักคิดประดิษฐ์ไม่แพ้ชาติอื่นช่างดนตรีไทยจึงปรับ ปรุงเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะและอุปกรณ์สำหรับตีขิมให้แตกต่างออกไปบ้างอาทิ เช่นไม้ขิมของจีนนั้นเดิมตรงส่วนปลายเป็นเพียงสันไม้ไผ่เปล่าๆไม่มีวัสดุห่อ หุ้ม ช่างไทยก็หาวัสดุจำพวกแผ่นหนังมาติดไว้เวลาตีสายขิมจะมีเสียงไพเราะนุ่มนวล น่าฟังมากกว่า ลวดลายที่วาดบนฝาขิมก็เปลี่ยนเป็นลายไทยเช่นลายเทพนมฯหรือถ้าวาดเป็นลายจีน ก็เป็นลายจีนแบบไทยที่คิดประดิษฐ์ลายเองเช่นลายมังกรคู่หรือลายจีนอื่นๆแล้ว แต่จินตนาการของช่างแต่ละแหล่งผลิต
ในไทยขิมมีพัฒนาการเรื่อยมาทั้งในด้านรูปร่างลักษณะและอุปกรณ์ที่ใช้ในการบรรเลงขิมอาทิเช่น ทำตัวขิมเป็นรูปเหมือนกระเป๋าเดินทางมีหูหิ้วเพื่อให้สะดวกในการนำ ไปบรรเลงยังที่ต่างๆ ทำถุงใส่ตัวขิมทั้งที่เป็นพลาสติกหนังและผ้า บางทีก็ทำเป็นสายเข็มขัดรัดตัวขิมมีหูหิ้วในตัวฯลฯ แต่การพัฒนาที่นับว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญครั้งแรกของวงการผลิตขิมของไทยก็คือการผลิตขิมชนิด "หมุดเกลียว"
เดิมทีนั้นขิมจีนและขิมที่ผลิตโดยคนไทยล้วนใช้หมุดยึดสายขิมแบบ หมุดตอก ทั้งสิ้น หมุดตอกคือหมุดที่ต้องใช้ฆ้อนเล็กๆตอกย้ำหมุดให้แน่นขณะที่ปรับเสียงขิม เพราะถ้าหมุดไม่แน่นจะคลายตัวง่ายทำให้เสียงขิมเพี้ยนแปร่งไม่น่าฟังแต่ เนื่องจากตัวหมุดทำด้วย ทองเหลืองบางครั้งจะบิดงอได้ง่ายหรือบางทีส่วนปลายหักค้างอยู่ใน เนื้อไม้ทำให้ตอกไม่ลงและตัวหมุดไม่ยึดเนื้อไม้จึงไม่สามารถเทียบเสียงเส้น นั้นได้นอกจากนั้นขิมแบบหมุดตอกตัวหมุดมีผิวเรียบไม่ค่อยจะยึดกับเนื้อไม้ ได้ดีนักต้องหมั่นตอกย้ำกันอยู่เสมอมีบ่อยครั้ง ที่หมุดคลายตัวขณะที่กำลังบรรเลงเพราะแรงสั่นสะเทือนจากการตีสายขิมทำให้ ต้องหยุดบรรเลงบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีช่างดนตรีไทยท่านหนึ่งคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเปลี่ยนมา ใช้หมุดเกลียวแทนหมุดตอกทำให้สายขิมไม่ค่อยคลายตัวง่ายและยังสะดวกในการ เทียบสายขิมเพราะไม่ได้ใช้ฆ้อนตอกแต่ออกแบบอุปกรณ์เทียบเสียงใหม่เป็นกระบอก สวมหัวหมุดและมีก้านสำหรับจับบิดไปมาได้แรงมากกว่าการหมุนที่หัวฆ้อนแบบเดิม การปรับเสียงขิมจึงทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมากและสายขิมไม่คลายตัวง่ายเหมือน หมุดตอกนับเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญครั้งแรกของการผลิตขิมของไทยเรา
การพัฒนาขิมไทยครั้งที่ 2 ก็คือการผลิตขิมชนิด 9 หย่อง ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของขิมไทยทีเดียวทั้งนี้เพราะขิม ชนิด 9 หย่องมีคุณภาพเสียงไพเราะน่าฟังกว่าขิมแบบ 7 หย่องมากเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่ใช้ในการผลิตและปรับปรุงรูปร่าง ให้แปลกออกไปจากเดิมคือ แต่เดิมนั้นไม่ว่าจะเป็นขิมจีนหรือขิมไทยก็มักจะใช้สายที่ทำด้วยลวดทอง เหลืองทั้งนั้น แต่ขิม 9 หย่องเปลี่ยนจากสายทองเหลืองไปเป็นสายลวดเหล็กที่ไม่ขึ้นสนิม (Stainless Steel) จึงไม่เป็นสนิมและไม่ขาดง่ายเหมือนกับสายทองเหลืองทั้งยังให้กระแสเสียงที่ อ่อนหวานไพเราะน่าฟังมากกว่าสายทองเหลือง
สาเหตุที่ต้องทำเป็นขิม 9 หย่องมีความนัยที่น่าสนใจคือ สายลวดเหล็กที่เรียกว่าเสตนเลสสตีลนั้นมีความยืดหยุ่นตัวมากกว่าสายทองเหลือง ดังนั้นถ้าจะให้เสียงดังกังวานสดใสเต็มที่จะต้องขึงให้ตึงมากกว่าสายทองเหลือง หากเอาสายลวดเหล็กไม่ขึ้นสนิมมาเปลี่ยนแทนสายลวดทองเหลืองในขิมชนิด 7 หย่องแล้วจะเกิดปัญหาคือจะไม่สามารถเทียบสายให้ตึงมากๆได้ทั้งนี้เพราะวงเครื่องสายไทยใช้ระดับเสียงที่ เรียกว่า "เพียงออ" เป็นหลักในการเทียบเสียง(ระดับเสียงเพียงออคือระดับเสียงของขลุ่ยไทยชนิดที่ ใช้ในการบรรเลงเครื่องสาย) และระดับเสียงเพียงออนี้จะอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เมื่อใช้สายขิมเสตนเลสสตีลขึงจะถึงระดับของเสียงเพียงออก่อนที่ตัวสายจะตึง เต็มที่ เวลาตีสายขิมเสียงจะไม่น่าฟังเพราะสาย ยังไม่ตึงเต็มที่ นายแพทย์สมชาย กาญจนสุต จึงเพิ่มระยะความยาวของตัวขิมออกไปทางด้านข้างอีกเพื่อให้สามารถเพิ่มความ ตึงของสายได้โดยระดับเสียงยังคงเดิม ด้วยวิธีนี้จึงทำให้ขิมที่ใช้สายเสตนเลสสตีลมีเสียงกังวานสดใสไพเราะน่าฟัง เนื่องจากตัวสายขิมมีความตึงเต็มที่ และเนื่องจากการที่ต้องเพิ่มความยาวทางด้านข้างออกไปมากกว่าเดิมจึงจำเป็น ต้องเพิ่มความความยาวด้านตั้งด้วยเพื่อให้รูปร่างของขิมแลดูสมส่วนไม่เรียว ยาวมากเกินไป นอกจากนั้นการเพิ่มความยาวในแนวตั้งยังทำให้ได้ตำแหน่งเสียงเพิ่มขึ้นอีก 2 ตำแหน่งจึงกลายเป็นขิมที่มีหย่อง 9 หย่อง ด้วยเหตุนี้ขิม 9 หย่องจึงมีขนาดใหญ่กว่าขิม 7 หย่อง
นอกจากการเปลี่ยนวัสดุที่ ใช้ในการทำสายขิมและเปลี่ยนรูปร่างให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมแล้วนายแพทย์สมชาย ยังได้ออกแบบช่องเสียงของตัวขิมใหม่คือแต่เดิมช่องเสียงขิมนิยมทำเป็นวงกลมๆ 2 วงอยู่บนผิวหน้าขิมแล้วปิดประดับด้วยงาหรือวัสดุที่ทำเป็นลายฉลุสวยงาม แต่ช่องเสียงของขิม 9 หย่องกลับทำเป็นร่องยาวๆอยู่ตรงด้านข้างใต้ตัวขิมข้างละ 1 ร่อง บนผิวหน้าของตัวขิมจึงแลดูราบเรียบไม่มีร่องกลมๆให้เห็นเหมือนขิม 7 หย่อง
ขิม 9 หย่องนี้ปัจจุบันเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีที่บรรเลงขิมมาก แม้ว่าสนนราคาจะค่อนข้างแพงสักหน่อยแต่คุณประโยชน์ก็มีมากเช่นกันคือ เสียงไพเราะน่าฟัง สายขิมไม่ขาดง่าย และมีรูปร่างสวยงาม ผู้ที่ซื้อขิมชนิดนี้ควรจะเป็นผู้ที่มุ่งจะฝึกเอาดีทางการบรรเลงขิมจึงจะสม ประโยชน์เพราะหากคิดเพียงแค่จะบรรเลงขิมเล่นๆแล้วซื้อขิมรุ่นอื่นที่เป็น ชนิด 7 หย่องจะสมประโยชน์มากกว่า ทั้งราคายังไม่แพงมากด้วย
นาย แพทย์สมชาย กาญจนสุต ยังได้ริเริ่มออกแบบขิมให้มีความสะดวกในการนำไปบรรเลงยังสถานที่ต่างๆโดยทำ เปลือกนอกของตัวขิมให้มีลักษณะคล้ายกับกระเป๋าเดินทางโดยมีหูหิ้วสำหรับหิ้ว ขิมติดมาด้วย ขิมรุ่นนี้เรียกกันว่า "ขิมกระเป๋า" วัสดุที่ใช้ทำเปลือก นอกเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ทำกระเป๋าเดินทางทั่วไปมีฝาเปิดปิดได้ทำนองเดียว กับกระเป๋าเดินทางเมื่อเปิดฝาออกมาแล้วส่วนในจะกลายเป็นพื้นหน้าของขิมชนิด 7 หย่อง ขิมกระเป๋านี้มีรูปร่างกรอบนอกเรียบๆธรรมดาไม่มีรอยหยักโค้งเหมือนขิมไม้โดย มากจะมีรูปทรงแบบสี่เหลื่ยมคางหมู
ขิมกระเป๋านี้สามารถนำเดินทางติดตัวไปยังสถานที่ไกลๆเช่นใน ต่างประเทศได้สะดวกเป็นการเอื้ออำนวยสำหรับการเผยแพร่ดนตรีไทยไปต่างประเทศ ทางอ้อมด้วย เพราะขิมแบบนี้มีเปลือกนอกแข็งแรงเหมาะกับการขนส่งไปทางไกล
นอก จากขิมกระเป๋าที่กล่าวไปแล้วนายแพทย์สมชายฯยังได้ออกแบบขิมกระเป๋าอีกชนิด หนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากขิมกระเป๋าชนิดแรกเรียกว่า "ขิมกระเป๋าแบบแยกส่วน" ขิมชนิดนี้มีกระเป๋า ซึ่งสามารถแยกออกจากตัวขิมได้โดยออกแบบทำตัวขิมสำเร็จรูปแยกต่างหากจากตัว กระเป๋าแต่สามารถสอดเก็บไว้ได้แนบสนิทภายในฝาขิมพอดี ตัวกระเป๋าแยกออกเป็น 2 ส่วนคือฝาส่วนและฝาส่วนล่างซึ่งสามารถถอดแยกออกจากกันได้ด้วย ขิมกระเป๋ารุ่นนี้มีแผ่นไม้แบนๆ 3 ชิ้นซึ่งประกอบเข้าเป็นขาตั้งสำหรับวางตัวขิมให้สะดวกในการบรรเลงและดูสวยงามด้วย
ต่อมาไม่นานนักนายแพทย์สมชายฯได้คิดประดิษฐ์ขิม 11 หย่องขึ้นมาอีกโดยมีจุดมุ่งหมายพิเศษคือขิม 11 หย่องนี้รวมเอาขิม 7 หย่อง 2 ตัวเข้าไว้ด้วยกันในตัวเดียวกล่าวคือ สายบนสุดนับลงมา 7 ตำแหน่งเทียบเสียงเป็นขิมที่มีระดับเสียงค่านข้างสูงส่วนสายที่เหลือซึ่งอยู่ถัดลงมาเทียบเป็นเสียงระดับค่อนข้างต่ำ ด้วยวิธีนี้ขิม 11 หย่อง 1 ตัวจึงสามารถบรรเลงได้มิติของเสียงมากขึ้นคือเหมือนกับมีขิม 7 หย่อง 2 ตัวที่เทียบเสียงสูงตัวหนึ่งและเสียงต่ำตัวหนึ่งซ้อนกันอยู่ภายในตัวเดียว แต่ผู้ที่บรรเลงขิม 11 หย่องนี้จะต้องมีความสามารถสูงจึงจะบรรเลงได้ดี
จากนั้นไม่นานนักนายแพทย์สมชายฯได้ผลิตขิม 11 หย่องชนิดเสียงทุ้มออกมาอีกโดย คราวนี้ออกแบบโครงสร้างภายในตัวขิมใหม่หมดพร้อมทั้งเปลี่ยนขนาดของสายขิมให้ ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เสียงขิมมีความทุ้มลึกมากเป็นพิเศษเรียกว่า "ขิมอู้" หรือขิมที่เน้นการบรรเลงเฉพาะเสียงทุ้มลึกคล้ายกับเครื่องดนตรีเบส ขิมชนิดนี้เมื่อใช้บรรเลงร่วมกับขิม 9 หย่องโดยเรียบเรียงวิธีการบรรเลงให้เหมาะสมแล้วจะเพิ่มอรรถรสให้กับผู้ฟัง มากทีเดียวเพราะมีทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำครบ